ดิฉันและน้องสาวมีแพลนที่ต้องการเดินทางไปประเทศสเปนเพื่อพบปะหาแฟนที่@Arcos de la Frontera Cádiz, Spain โดยให้คุณยุพดีช่วยทำวีซ่าให้ซึ่งได้วีซ่าผ่านเรียบร้อยคือระหว่างวันที่ 20 April – 2 August 2020 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สเปนมีการระบาดของโควิคหนักมาก และประเทศไทยเองก็เริ่มมีการเข้มงวดของการเดินทางเข้าออก สายการบินที่เราจองไว้แล้วได้ยกเลิกเที่ยวบิน และเราก็ไม่สามารถหาไฟลท์ใหม่จองได้อีกเลย จนใกล้เวลาของวีซ่าเกือบจะหมดอายุ
เราจึงตัดสินใจขอเลื่อนระยะเวลาของวีซ่าออกไป โดยทางคุณยุพดีได้ส่งอีเมลล์ไปขอคำแนะนำจากทางสถานทูตสเปนว่าเกิดปัญหาว่าไม่สามารถเดินทางได้เพราะสถานการณ์โควิคระบาด เลยทำให้หาไฟลท์บินไมได้เลย ทางสถานทูตจะช่วยขยายเวลาวีซ่าให้ได้หรือไม่ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่สถานทูตก็ใจดีมาก ได้ให้คำแนะนำว่าให้เราไปที่สถานทูต และให้นำหลักฐานการจองเที่ยวบินใหม่ พร้อมพาสปอร์ต เพื่อทางสถานทูตจะทำการเลื่อนเวลาของวีซ่าให้ใหม่
ดิฉันและน้องสาวดีใจมากที่ทางสถานทูตให้โอกาส พวกเราก็เฝ้ารอให้สถานการณ์โควิดในประเทศสเปนดีขึ้น และขอให้มีสายการบินที่สามารถเดินทางได้ ซึ่งก็ได้ตั๋วมาใหม่เป็นวันที่ 1 สิงหาคมและพวกเราก็รีบไปที่สถานทูต และยื่นเรื่องขอยืดเวลาของอายุวีซ่าออกไป ซึ่งเราก็ได้วีซ่ามาใหม่คือวันที่ 1 August - 29 October 2020
และเนื่องจากเป็นช่วงแพร่ระบาดของไวรัสโควิค-19 ดิฉันและน้องสาวต้องดำเนินการกรอกเอกสารเพิ่มเติมจากทางสถานทูตคือแบบฟอร์ม Spain Travel Health ก่อนเดินทาง 72 ชั่วโมงซึ่งเราได้รับ QR code เพื่อใช้ในการยื่นเข้าตม.ของประเทศที่ผ่านต่อเครื่องบิน และเราก็สแกน QR code ทุกครั้งเมื่อผ่านสนามบิน
ในวันเดินทางที่ 1 สิงหาคม ดิฉันและน้องสาวก็ค่อนข้างฉุกละหุก เพราะต้องกรอกแบบฟอร์มนั้น เรานั่งทำกันในสนามบินสุวรรณภูมิ โดยมีคุณยุพดีคอยให้กำลังใจและช่วยเหลืออยู่ข้างๆ และในที่สุดพวกเราก็ทำสำเร็จ และพร้อมดินทาง ซึ่งตลอดการเดินทางก็เจอมาตรการการป้องกันการระบาดอย่างเข้มงวด
ในช่วงที่อยู่ในเมือง Arcos de la Frontera , Cadiz ประเทศสเปน พวกเราก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหน ส่วนมากจะออกไปซื้อหาอาหารและของใช้ที่จำเป็นมาใช้เท่านั้น และเดินเที่ยวแถวๆนั้น ไม่ได้ไปไหนไกลๆ แผนการท่องเที่ยวที่จะไปเที่ยวโปรตุเกสที่ได้แจ้งไปตอนขอวีซ่าว่าจะไปเที่ยวกัน ก็ต้องยกเลิก มันเป็นอะไรที่น่าเสียดายมากๆ แต่ก็ต้องอดทนและยอมรับความจริงเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง
และเมื่อถึงวันเดินทางกลับเมืองไทยคือวันที่ 26 October ด้วยสายการบิน Swiss Airline เราก็บินไม่ได้ เพราะถูกยกเลิกกะทันหัน เลยทำให้ต้องจองตั๋วใหม่ ซึ่งก็ได้วันเดิม แต่บินกับ Qatar Airways ....ซึ่งเราสองคนก็เตรียมพร้อมไว้แล้วว่าจะได้กลับบ้านกันแล้ว
แต่ปรากฏว่าพอบินจากสนามบิน Jerez ในเมือง Cadiz ไปที่สนามบินในเมือง Madrid เพื่อจะกลับไทย พนักงานของ Qatar Airways แจ้งว่าพวกเรามีเอกสารมาไม่ครบ คือยังขาดเอกสาร COE (Certificate of Entry) ที่จะต้องได้จากสถานทูตไทยในสเปน, ใบรับรองแพทย์ หรือที่เรียกว่า Fit to Fly ซึ่งออกโดยคลินิก หรือสถานพยาบาล และ เอกสารการจองโรงแรมในเมืองไทย ที่จะใช้ในการกักตัว 14 วัน เลยทำให้วันนั้นเราไม่สามารถเดินทางได้
และเราต้องใช้เวลาเกือบทั้งวันเพื่อเปลี่ยนตั๋วใหม่ โดยได้บินวันที่ 12 November ซึ่งหมายความว่าเราสองคนจะอยู่สเปนเกินกำหนดระยะเวลาของอายุวีซ่าที่ได้ จึงทำให้เรากังวลใจอย่างมาก เพราะกลัวจะมีผลกระทบกับการขอวีซ่าใหม่ในครั้งต่อไป
และเมื่อเรากลับมาที่เมือง Cadiz เราก็เริ่มดำเนินการเตรียมเอกสารทุกอย่างให้พร้อมให้ทันในวันเดินทาง ซึ่งเอกสาร COE โดยปกติใช้เวลาประมาณ 15 วันทำการ แต่ทางสถานทูตไทยเร่งดำเนินการให้เพราะเห็นวีซ่าเราหมดอายุแล้ว จึงใช้เวลาเพียง 2-3 วันทำการเท่านั้น
คราวนี้มาถึงปัญหาใหญ่สุดคือเรื่องโรงแรมที่กักตัว ซึ่งพวกเราได้พยายามหาเอง โดยหาจากรายชื่อใน ASQ (Alternative State Quarantine) แต่ราคาแพงมาก ประมาณ 30,000 Baht up พวกเราจึงได้ปรึกษาทางสถานทูตไทยในสเปน และได้รับคำแนะนำว่าให้จองคิวกับทางสถานทูต แต่ต้องรอ เพราะมีคนไทยคนอื่นๆ ก็รอเดินทางเหมือนกัน ซึ่งเราคิดกันแล้วว่าดีกว่าการจองโรงแรมด้วยตัวเอง
เราจึงตัดสินใจยกเลิกตั๋วที่เราได้จองและจ่ายเงินไว้แล้ว และใช้บริการของทางสถานทูตไทยในสเปนแทน โดยเราได้คิวบินในวันที่ 30 November โดยเราต้องชำระค่าตั๋วใหม่ทั้งหมด แต่ไม่ต้องชำระค่าที่พักเพราะเป็นโรงแรมที่ทางรัฐบาลไทยจัดหาไว้ให้ เรียกว่า State Quarantine
ปัญหาต่อมาคือเรื่องของเอกสาร Fit to Fly ในวันก่อนเดินทาง เราได้รับเอกสาร Fit to Fly จากทางคลินิก ที่ปรากฏว่าใส่ข้อมูลของเราสองคนสลับไปมา ทั้งเลขพาสปอร์ต ทั้งลงวันที่ที่ไม่ตรงกับที่เราแจ้งไป และไม่มีหัวกระดาษว่า Fit to Fly ทำให้พวกเราต้องเสียเวลามากกับการที่ต้องกลับไปที่คลินิกอีกรอบเพื่อให้แก้ไข
ในวันเดินทางที่ 30 November เราสองคนได้ร่วมเดินทางกับเพื่อนคนไทยอีก 2 กลุ่ม รวมทั้งหมด 30 คนที่มาจากสเปน และพวกเราทั้งหมดก็พักที่โรงแรม Le Bali Resorts and Spa ซึ่งอยู่ที่พัทยาโดยพวกเราทุกคนไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าจะได้พักที่ไหน จนกระทั่งมาถึงที่สนามบินสุวรรณภูมิ และมีทีมแพทย์มาตรวจเช็คร่างกาย และวัดอุณหภูมิ และแจ้งโรงแรมที่ต้องใช้ในการกักตัว
เมื่อมาถึงโรงแรม ทุกคนถูกจับแยกห้อง ห้องละ 1 คน และแต่ละห้องจะมีปรอทวัดอุณหภูมิ มีแมส มีเจลล้างมือ 2 หลอด ซึ่งเราต้องคอยวัดอุณหภูมิของตัวเองทุกวัน และแจ้งอาการกับทีมแพทย์ทุกๆ วัน โดยการแอดไลน์ของกลุ่มทีมแพทย์ และเราจะได้รับการตรวจว่ามีเชื้อโควิคหรือไม่สัปดาห์ละครั้ง และจะได้รับใบรับรองแพทย์กลับมาด้วยทุกครั้ง
ส่วนเรื่องอาหารการกิน ก็มีบริการให้ทุกวัน ทุกมื้อ และพวกเราต้องซักผ้าและดูแลทำความสะอาดห้องของตัวเอง โรงแรมนี้ถือว่าเป็นโรงแรมระดับห้าดาว ห้องพักสวยหรู ที่นอนนุ่มสบาย ซึ่งช่วงนี้ใช้เป็นโรงแรมเฉพาะกักตัวเท่านั้นไม่มีบุคคลทั่วไปมาพักได้
เราขอบอกว่า เราสองคนนับว่าโชคดีมากที่สามารถมีโอกาสได้เดินทางไปต่างประเทศในช่วงวิกฤตครั้งนี้ และยังได้กลับมาประเทศไทย อย่างปลอดภัยและสุขภาพแข็งแรงอีกด้วย
ท้ายนี้เราขอขอบคุณคุณยุพดีที่คอยให้ข้อมูล และความช่วยเหลือ และติดต่อสื่อสารกับเราตลอดเวลาของการเดินทางครั้งนี้ เราจะยังคงใช้บริการของคุณยุพดีตลอดไป